เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 ตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เผยแพร่จดหมายเปิดผนึกผ่าน Truth Social ถึงนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รักษาการนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย โดยยืนยันว่าจะคงอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยไว้ที่ 36% เช่นเดิม โดยมาตรการนี้จะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 ซึ่งเนื้อหาในจดหมายมีใจความสำคัญดังนี้
ประธานาธิบดีทรัมป์ระบุว่า รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ส่งสารถึงผู้นำประเทศไทย เพื่อเน้นย้ำถึงสายสัมพันธ์ทางการค้าที่แข็งแกร่ง และความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ ในการร่วมมือกับไทยต่อไป แม้สหรัฐฯ จะยังคงประสบปัญหาขาดดุลการค้ากับไทยอย่างต่อเนื่อง
แม้เป็นเช่นนั้น สหรัฐฯ ยังคงยืนยันความตั้งใจในการดำเนินความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับไทย ภายใต้กรอบที่สมดุลและยุติธรรมมากขึ้น พร้อมทั้งเชิญชวนให้ประเทศไทยมีบทบาทมากขึ้นในเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นตลาดอันดับหนึ่งของโลก
ที่ผ่านมา สหรัฐฯ ได้มีการเจรจาหารือกับฝ่ายไทยเกี่ยวกับประเด็นทางการค้า และได้ข้อสรุปว่า การขาดดุลการค้าระยะยาวควรได้รับการแก้ไข ซึ่งเกิดจากอุปสรรคทางภาษี มาตรการกีดกัน และข้อจำกัดต่าง ๆ จากฝั่งไทย
ด้วยเหตุนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป สหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยที่อัตรา 36% ครอบคลุมสินค้าทุกประเภท แยกออกจากการจัดเก็บภาษีตามกลุ่มสินค้าเดิม นอกจากนี้ หากมีความพยายามส่งสินค้าผ่านประเทศที่สามเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี จะมีการเก็บภาษีในอัตราที่สูงขึ้น
ทรัมป์ระบุว่า อัตราภาษีดังกล่าวยังคงต่ำกว่าระดับที่ควรใช้เพื่อชดเชยความไม่สมดุลทางการค้าที่เกิดขึ้นในอดีต
อย่างไรก็ตาม หากบริษัทไทยหรือรัฐบาลไทยเลือกลงทุนตั้งฐานการผลิตในสหรัฐฯ จะได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าโดยสมบูรณ์ และสหรัฐฯ พร้อมเร่งกระบวนการอนุมัติให้แล้วเสร็จภายในไม่กี่สัปดาห์
หากประเทศไทยเลือกที่จะตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ สหรัฐฯ จะปรับเพิ่มอัตราภาษีจากไทยให้รวมอัตราตอบโต้นั้นเข้าไปด้วย
ทรัมป์เน้นย้ำว่า มาตรการภาษีนี้มีความจำเป็น เพื่อแก้ไขผลกระทบจากนโยบายที่ไม่เป็นธรรมด้านภาษีและมิใช่ภาษีของไทย ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ มาอย่างยาวนาน
นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังประกาศอัตราภาษีนำเข้าใหม่กับประเทศอื่น ๆ ดังต่อไปนี้
สปป.ลาว: 40% (ลดลงจาก 48%)
เมียนมา: 40% (ลดลงจาก 44%)
กัมพูชา: 36% (ลดลงจาก 49%)
ไทย: 36% (ไม่เปลี่ยนแปลง)
บังกลาเทศ: 35% (ลดลงจาก 37%)
เซอร์เบีย: 35% (ลดลงจาก 37%)
อินโดนีเซีย: 32% (ไม่เปลี่ยนแปลง)
บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา: 30% (ลดลงจาก 35%)
แอฟริกาใต้: 30% (ไม่เปลี่ยนแปลง)
ญี่ปุ่น: 25% (เพิ่มขึ้นจาก 24%)
คาซัคสถาน: 25% (ลดลงจาก 37%)
มาเลเซีย: 25% (เพิ่มขึ้นจาก 24%)
เกาหลีใต้: 25% (ไม่เปลี่ยนแปลง)
ตูนิเซีย: 25% (ลดลงจาก 28%)